การสั่งผลิตถุงกระดาษครบวงจร! สำหรับแบรนด์เริ่มต้น สรุปเทคนิคเลือกกระดาษ ไซซ์ และขั้นตอนผลิตให้ได้คุณภาพสูงสุด พร้อมสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างมั่นใจ
- เทคนิคการเลือกประเภทกระดาษให้เหมาะกับภาพลักษณ์แบรนด์ (คราฟท์ vs อาร์ตการ์ด)
- ตารางเปรียบเทียบขนาดและราคาสั่งทำถุงกระดาษ ไซซ์ S, M, L, XL
- ขั้นตอนการสั่งผลิตตั้งแต่การออกแบบจนถึงจัดส่ง
- เคล็ดลับการเลือกโรงพิมพ์และตรวจสอบคุณภาพงาน
การสร้างความประทับใจ (First Impression) คือสิ่งสำคัญ การสั่งผลิตถุงกระดาษไม่ใช่แค่การหาภาชนะบรรจุสินค้า แต่คือการสร้าง “Mobile Billboard” หรือป้ายโฆษณาเคลื่อนที่ให้กับแบรนด์ของคุณ สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ การตัดสินใจ ผลิตถุงกระดาษที่มีคุณภาพ สวยงาม และทนทาน จะช่วยยกระดับมูลค่าสินค้า (Value Added) ได้ทันที
ไม่ว่าคุณจะขายเสื้อผ้า อาหาร หรือเครื่องประดับ การเลือกใช้ถุงกระดาษคราฟท์ หรือ ถุงกระดาษอาร์ตการ์ด ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกแกรมกระดาษเท่าไหร่ ไปจนถึงขั้นตอนการผลิต เพื่อให้คุณสั่งทำถุงกระดาษได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

ประเภทกระดาษ ที่นิยมใช้ในการสั่งผลิตถุงกระดาษ
ประเภทกระดาษ ที่นิยมใช้ในการ สั่งผลิตถุงกระดาษ พร้อมข้อดีและข้อเสียของแต่ละชนิด
1.กระดาษคราฟท์สีน้ำตาล (Brown Kraft Paper)
เป็นกระดาษที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับแบรนด์ที่เน้นภาพลักษณ์รักษ์โลก (Eco-friendly) หรือสไตล์วินเทจ มักมีความหนาตั้งแต่ 125 – 150 แกรม มีสีย่อยให้เลือกหลักๆ คือ KA (สีน้ำตาลทองเข้ม), KI (สีน้ำตาลอ่อน) และ KP (สีน้ำตาลธรรมชาติ)
ข้อดี
- ภาพลักษณ์ดี: สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ รักษ์โลก และความยั่งยืนได้ชัดเจนที่สุด
- ต้นทุนต่ำ: โดยทั่วไปราคาจะถูกกว่ากระดาษอาร์ตการ์ด ช่วยประหยัดต้นทุนการผลิต
- ความเหนียว: เนื้อกระดาษมีเส้นใยที่เหนียว ทนต่อแรงดึงและแรงฉีกขาดได้ดีตามธรรมชาติ
- ไม่ต้องเคลือบ: สวยงามในตัวมันเองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเคลือบพลาสติกเพิ่ม
ข้อเสีย
- สีเพี้ยนง่าย: เนื่องจากพื้นหลังเป็นสีน้ำตาล เมื่อพิมพ์สีลงไป สีจะดูทึบลงหรือ “จม” ไม่สดใสเหมือนในไฟล์งาน
- ไม่กันน้ำ: หากโดนน้ำหรือความชื้น กระดาษจะเปื่อยยุ่ยได้ง่ายกว่าแบบเคลือบ
- จำกัดเทคนิคพิเศษ: ไม่เหมาะกับการปั๊มเคเงิน/เคทอง หรือ Spot UV มากนัก เพราะพื้นผิวไม่เรียบเนียน
2.กระดาษคราฟท์สีขาว (White Kraft Paper / KS)
สำหรับคนที่ชอบความเหนียว ทน แบบคราฟท์แต่อยากได้พื้นหลังสีขาวเพื่อให้พิมพ์ลายได้ชัดเจนขึ้น มักใช้ความหนาประมาณ 120 – 150 แกรม
ข้อดี
- พิมพ์สีสวยขึ้น: พื้นหลังสีขาวช่วยให้โลโก้หรือลวดลายกราฟิกมีความชัดเจนและสีสดกว่าคราฟท์น้ำตาล
- สไตล์มินิมอล: ให้ความรู้สึกสะอาดตา ทันสมัย (Modern Minimal) แบบแบรนด์ญี่ปุ่น
- แข็งแรง: ยังคงคุณสมบัติความเหนียวของเยื่อกระดาษคราฟท์ไว้
ข้อเสีย
- เปื้อนง่าย: ด้วยความที่เป็นสีขาวและเนื้อด้าน ทำให้เห็นรอยเปื้อนหรือฝุ่นได้ง่ายกว่า
- ความพรีเมียม: อาจดูหรูหราน้อยกว่ากระดาษอาร์ตการ์ดเคลือบเงา/ด้าน
3.กระดาษอาร์ตการ์ด (Art Card Paper)
เป็นกระดาษเนื้อแน่น ผิวเรียบเนียนทั้งสองด้าน ความหนา แข็งแรง ขนาดแกรมกระดาษเป็นที่นิยมคือ 190, 210, 230 ไปจนถึง 260 แกรม
ข้อดี
- งานพิมพ์คุณภาพสูง: รองรับระบบพิมพ์ Offset 4 สี ได้ดีที่สุด ให้สีสด คมชัด สมจริงมากที่สุด
- ความหรูหรา (Premium Look): สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ทันที เหมาะกับสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง
- รองรับเทคนิคพิเศษ: เหมาะมากสำหรับการทำ Spot UV, ปั๊มนูน (Emboss), ปั๊มจม หรือปั๊มฟอยล์ทอง
- กันละอองน้ำได้: เมื่อเคลือบลามิเนต (PVC) เงาหรือด้าน จะช่วยกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง
ข้อเสีย
- ราคาสูง: มีต้นทุนต่อใบสูงที่สุดในบรรดากระดาษทั้งหมด
- ต้องเคลือบเสมอ: หากไม่เคลือบพลาสติก (Laminate) เวลาพับขึ้นรูป สีตรงรอยพับจะแตกและกระดาษจะฉีกขาดง่าย
- น้ำหนักเยอะ: ตัวถุงมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อเทียบกับกระดาษคราฟท์
4.กระดาษปอนด์ (Bond Paper)
กระดาษเนื้อสีขาวคล้ายกระดาษ A4 แต่มีความหนามากกว่า (ประมาณ 80-120 แกรม) นิยมใช้กับถุงใส่ขนมเบเกอรี่ หรือถุงยา
ข้อดี
- ราคาประหยัด: เป็นตัวเลือกที่ประหยัดสำหรับถุงขนาดเล็กหรือใช้แล้วทิ้ง
- เขียนได้: ผิวสัมผัสสามารถใช้ปากกาเขียนข้อความลงไปได้ง่าย
ข้อเสีย
- รับน้ำหนักได้น้อย: ไม่เหมาะกับของหนัก เพราะกระดาษค่อนข้างบางและฉีกขาดง่ายที่สุด
- ดูไม่แพง: ไม่นิยมใช้เป็นถุงช้อปปิ้งสำหรับสินค้ามูลค่าสูง
ตารางสรุปการเลือกใช้กระดาษ
| ประเภทกระดาษ | เหมาะกับธุรกิจ | จุดเด่น (Selling Point) |
| คราฟท์น้ำตาล (KI/KA) | ร้านกาแฟ, เสื้อผ้าวินเทจ, สินค้าออร์แกนิค | รักษ์โลก, ทนทาน, ราคาถูก |
| คราฟท์ขาว (KS) | คาเฟ่มินิมอล, เบเกอรี่, เสื้อผ้าวัยรุ่น | สะอาดตา, พิมพ์ลายชัด, สไตล์ญี่ปุ่น |
| อาร์ตการ์ด (Art Card) | แบรนด์เนม, เครื่องสำอาง, องค์กรธุรกิจ | หรูหรา, สีสด, กันน้ำได้ดีกว่า |
คำแนะนำเพิ่มเติม: หากสินค้าของคุณเป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยม อย่าลืมวัดขนาดของสินค้าคุณให้แม่นยำ แล้วบวกเผื่อความกว้างและความหนาอีกด้านละ 1-2 ซม. เพื่อให้ใส่สินค้าลงในถุงได้สะดวก

6 ขั้นตอนการผลิตถุงกระดาษ กับโรงงานมืออาชีพ
เพื่อให้คุณเข้าใจกระบวนการทำงานของโรงงานรับทำถุงกระดาษ อย่างถ่องแท้ และเตรียมตัวได้อย่างมืออาชีพ นี่คือ Workflow มาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงมือคุณ
ขั้นตอนที่ 1: คุยรายละเอียดและสรุปสเปคงาน (Briefing & Specification)
ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุด เพราะ “สเปคที่ชัดเจน นำไปสู่ราคาที่แม่นยำ” คุณต้องแจ้งความต้องการให้โรงงานทราบอย่างละเอียดเพื่อป้องกันความผิดพลาด
- ขนาดถุง: ระบุ กว้าง x หนา(ข้าง) x สูง เป็นหน่วยเซนติเมตร (เช่น 20 x 8 x 20 ซม.)
- ประเภทกระดาษ: เลือกให้ชัดเจนว่าจะใช้ ถุงกระดาษคราฟท์ (125-150 แกรม) หรือ ถุงกระดาษอาร์ตการ์ด (190-210 แกรม)
- จำนวนผลิต (MOQ): แจ้งยอดที่ต้องการ (เช่น 500, 1,000, หรือ 5,000 ใบ) ยิ่งสั่งเยอะ ราคาต่อใบยิ่งถูกลง
- ชนิดหูหิ้ว: ต้องการเชือกเปีย, เชือกเกลียว, ริบบิ้น หรือหูเจาะตาย
- ออปชั่นเสริม: ต้องการเคลือบด้าน/เงา, ปั๊มเคทอง (Hot Stamp), หรือปั๊มนูน (Emboss) หรือไม่?
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมไฟล์ออกแบบ (Design Preparation)
งานพิมพ์จะสวยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไฟล์ต้นฉบับ
- ไฟล์ที่แนะนำ: ควรเป็นไฟล์ Vector นามสกุล .AI (Adobe Illustrator) หรือ .PDF คุณภาพสูง เพื่อให้ภาพคมชัดไม่แตกเมื่อขยาย
- โหมดสี: ต้องตั้งค่าเป็น CMYK (สำหรับงานพิมพ์) เท่านั้น ห้ามใช้ RGB เพราะสีจริงจะเพี้ยนจากหน้าจอ
- Font (ตัวอักษร): ต้อง Create Outlines (ฝังฟอนต์) มาให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันฟอนต์เด้ง
- ข้อแนะนำ: หากไม่มีไฟล์ออกแบบ โรงพิมพ์ชั้นนำมักมีบริการ “จัดวางโลโก้ให้ฟรี” เพียงคุณส่งไฟล์โลโก้และข้อความที่ต้องการมาให้
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบไฟล์และยืนยัน (Pre-press Check)
ก่อนลงแท่นพิมพ์จริง ฝ่ายกราฟิกของโรงงานจะทำการตรวจสอบไฟล์งานทางเทคนิค
- ระยะตัดตก (Bleed Line): ตรวจสอบว่ามีการเผื่อระยะภาพเกินขอบตัดอย่างน้อย 3 มม. หรือไม่ เพื่อป้องกันขอบขาวเมื่อตัดกระดาษ
- ระยะปลอดภัย (Safety Margin): โลโก้และข้อความสำคัญ ต้องไม่อยู่ชิดขอบถุงหรือรอยพับมากเกินไป
- การตั้งค่าสี: ตรวจสอบค่าสีดำ (Rich Black vs Plain Black) ให้เหมาะสมกับงานพิมพ์
- สิ่งที่ลูกค้าต้องทำ: ตรวจสอบตัวสะกด เบอร์โทร และรายละเอียดบน Digital Proof ที่โรงงานส่งให้ยืนยันอย่างละเอียดที่สุด
ขั้นตอนที่ 4: ขึ้นตัวอย่าง Mockup (Prototyping)
ไฮไลท์สำคัญที่ขาดไม่ได้ โรงงานที่มีมาตรฐานจะทำการขึ้นตัวอย่าง หรือ Mockup ให้ลูกค้าดูก่อนผลิตจริง
- Digital Proof: เป็นไฟล์ภาพให้ดูตำแหน่งการจัดวาง (Layout) บนหน้าจอ
- Physical Mockup (ตัวอย่างจริง): โรงงานจะพิมพ์และขึ้นรูปถุงกระดาษ 1 ใบ (อาจเป็นงานพิมพ์ Digital) ส่งให้ลูกค้าจับต้องจริง
- สิ่งที่ต้องเช็ค: ขนาดถุงเมื่อกางออกใส่สินค้าได้จริงไหม?, ความแข็งแรงของกระดาษรับน้ำหนักไหวไหม?, สีสันถูกต้องตาม CI แบรนด์หรือไม่?
ขั้นตอนที่ 5: เริ่มกระบวนการผลิตจริง (Mass Production)
เมื่อลูกค้าเซ็นยืนยัน Mockup โรงงานจะเริ่มเดินเครื่องผลิตตามลำดับ
- การพิมพ์ (Printing): พิมพ์ด้วยระบบ Offset (สำหรับจำนวนมาก) ให้สีคมชัดสม่ำเสมอ
- การเคลือบผิว (Coating): นำกระดาษไปเคลือบฟิล์มลามิเนต (PVC) แบบด้านหรือเงา เพื่อกันน้ำและเพิ่มความเหนียว (เฉพาะกระดาษอาร์ตการ์ด)
- การไดคัท (Die-cutting): ปั๊มกระดาษให้ขาดตามรูปทรง (Pattern) ของถุง
- การขึ้นรูปและร้อยเชือก (Forming & Assembly): พับ ปะกาวด้านข้าง วางกระดาษรองก้น และเจาะรูร้อยเชือกหูหิ้ว ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความประณีตสูง
- ระยะเวลา: โดยทั่วไปใช้เวลา 15-20 วันทำการ (ขึ้นอยู่กับคิวงานและความยากง่าย)
ขั้นตอนที่ 6: ตรวจสอบคุณภาพและจัดส่ง (QC & Delivery)
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนส่งมอบงานให้ลูกค้า
- การตรวจสอบคุณภาพ (QC): สุ่มตรวจรอยกาวต้องแน่น ไม่หลุดร่อน, หูหิ้วต้องรับน้ำหนักได้จริง, ไม่มีรอยขีดข่วนหรือคราบกาวเปื้อน
- การแพ็คสินค้า: บรรจุลงกล่องลูกฟูกที่แข็งแรง เรียงถุงอย่างเป็นระเบียบเพื่อป้องกันการยับระหว่างขนส่ง
- การจัดส่ง: ส่งมอบผ่านบริการขนส่งเอกชน หรือรถส่งของโรงงาน โดยลูกค้าควรตรวจสอบจำนวนและสภาพกล่องทันทีที่ได้รับ
งบประมาณที่ต้องเตรียมในการสั่งทำถุงกระดาษ
ราคาของการสั่งผลิตถุงกระดาษ ขึ้นอยู่กับ “จำนวน” เป็นหลัก ยิ่งสั่งเยอะ ราคาต่อใบยิ่งถูกลง (Economy of Scale)
- สั่งทำถุงกระดาษ จำนวนน้อย (300-500 ใบ): ราคาต่อใบจะค่อนข้างสูง (เช่น Size S อาจอยู่ที่ 28-40 บาท) เหมาะสำหรับการทดลองตลาด
- สั่งทำถุงกระดาษ จำนวนมาก (1,000-2,000 ใบขึ้นไป): ราคาจะลดลงอย่างมาก (เช่น Size S อาจเหลือเพียง 14-18 บาท) เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มียอดขายเสถียรแล้ว
หากคุณมีพื้นที่จัดเก็บ แนะนำให้สั่งผลิตที่ 1,000 ใบขึ้นไป จะคุ้มค่าต้นทุนที่สุด และอย่าลืมสอบถามเรื่องค่าบล็อกและค่าจัดส่งก่อนตกลงราคา

5 ความลับ “ภายใน” ที่ทำให้ถุงกระดาษทนทาน ไม่ขาดง่าย
หลายคนเข้าใจผิดว่าการสั่งผลิตถุงกระดาษ ดูแค่ความหนาของกระดาษและลวดลายก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงแล้ว “คุณภาพที่แท้จริงซ่อนอยู่ภายใน” นี่คือ 5 องค์ประกอบลับที่โรงงานมืออาชีพใส่ใจ เพื่อให้ถุงของคุณไม่ขาดกลางทางและไม่ทำลายชื่อเสียงแบรนด์
1.กระดาษรองที่ซ่อนอยู่ (Top Rim & Bottom Board)
แม้จะไม่เห็นจากภายนอก แต่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ เหล่านี้คือโครงสร้างที่ช่วยให้ถุงรับน้ำหนักได้มากโดยไม่เสียทรง
ข้อดี คือ
- ช่วยกระจายน้ำหนักลงพื้นถุงให้เท่ากัน
- ป้องกันไม่ให้เชือกหูหิ้วดึงจนกระดาษตัวถุงฉีก
- ทำให้ถุงตั้งทรงสวย ไม่อ่อนหรือบุบง่าย
สิ่งที่โรงงานมืออาชีพทำคือ ใช้กระดาษแข็ง เช่น Grey Board หรือ Duplex Board ความหนา 300–350 แกรมขึ้นไป ติดซ่อนอยู่ในขอบปากถุงและก้นถุงเสมอ ซึ่งถ้าลดสเปกส่วนนี้ ถุงจะเสียทรงง่ายและก้นทะลุได้เมื่อใส่ของหนัก
2.คุณภาพของกาว (Adhesive Quality)
ตำแหน่งที่ถุงขาดบ่อยที่สุดไม่ใช่ตัวกระดาษ แต่คือ “จุดที่กาวยึดติด” เช่น รอยต่อข้างและก้นถุง
ข้อดี คือ
- กาวดี = ถุงแข็งแรง แม้ใช้กระดาษไม่หนามาก
- กาวไม่ดี = ถุงหลุดง่าย ต่อให้ใช้กระดาษแพงแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้
สิ่งที่โรงงานมืออาชีพทำ คือ
- ใช้ กาวอุตสาหกรรมสูตรพิเศษ (Industrial Grade) ที่แห้งเร็ว เหนียว และทนความชื้น
- สำหรับถุงใส่อาหาร ใช้ กาว Food Grade ที่ไม่มีสารระเหยอันตราย (VOC-free) เพื่อความปลอดภัย
- ควบคุมปริมาณและตำแหน่งกาวให้สม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดการหลุดร่อนตอนใช้งานจริง
กาวจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดของถุงกระดาษ มากกว่าความหนากระดาษเสียอีก
3.การตบเส้นก่อนพับ (Scoring & Creasing)
ถุงที่รอยพับแตกจนเห็นเส้นสีขาว คือสัญญาณงานผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน
ข้อดี คือ
- ทำให้รอยพับคม สวย และไม่แตก
- ลดโอกาสที่กระดาษหรือฟิล์มเคลือบจะย่น
- ถุงคงรูปได้ดี ไม่บิดหรือป่อง
สิ่งที่โรงงานมืออาชีพทำคือ
- ก่อนพับขึ้นรูป จะต้องทำ “ร่องพับ” ด้วยแรงกดที่ถูกต้อง (Scoring)
- ยิ่งถ้าถุงเคลือบ การตบเส้นดีมีผลมาก เพราะช่วยให้ฟิล์มไม่แตกบริเวณขอบ
4.ทิศทางเสี้ยนกระดาษ (Paper Grain Direction)
นี่คือรายละเอียดระดับงานช่าง เพราะกระดาษมี “เสี้ยน” เหมือนไม้ การวางเสี้ยนผิดทางทำให้ถุงเสียรูปได้ง่ายมาก
ข้อดี คือ
- ถุงตั้งทรงได้สวย ไม่บิดตัว
- รับแรงดึงในแนวตั้งได้ดีขึ้น
- พับง่ายขึ้น และไม่คืนรูป
สิ่งที่โรงงานมืออาชีพทำคือ
- วาง Layout ให้ ทิศทางเสี้ยนขนานไปกับความสูงของถุง
- เพราะเป็นทิศทางที่ถุงต้องรับน้ำหนักและแรงดึงมากที่สุด
- โรงงานทั่วไปที่ไม่สนใจเรื่องนี้ มักทำให้ถุง “ป่อง พอง หรือย่น” หลังกาวแห้ง
5.เทคนิคการติดหูหิ้ว (Handle Attachment)
หูหิ้วคือจุดที่รับแรงมากที่สุด ถ้าทำไม่ดี ถุงพรีเมียมก็ขาดง่ายทันที
ข้อดี คือ
- หูไม่หลุดง่ายแม้ใส่ของหนัก
- ใช้ได้นานขึ้น
- ให้ความรู้สึกแข็งแรงเวลาถือ
สิ่งที่โรงงานมืออาชีพทำคือ
แบบเชือกเปีย / เชือกเกลียว
- ปลายเชือกต้องมี ตัวล็อก (Barbed) หรือการมัดปมแน่นหนา
- ไม่ใช่แค่สอดเข้าไปเฉย ๆ ซึ่งหลุดง่ายมาก
แบบหูตีแบน (Flat Handle)
- ต้องเสริมกระดาษ (Paper Patch) บริเวณจุดติดกาว
- เพื่อเพิ่มพื้นที่ยึดเกาะ ไม่ให้ฉีกเมื่อถูกกระชาก
ปรึกษาทีมงาน Packingdesigns วันนี้ เราช่วยคุณประเมินสเปคที่เหมาะสมที่สุดในการสั่งผลิตถุงกระดาษ กับงบประมาณ พร้อมบริการ ขึ้น Mockup ตัวอย่างให้ดูฟรี ก่อนผลิตจริง เพื่อให้คุณมั่นใจ 100%
สรุป
” โรงงานผลิตถุงกระดาษ “ PackingDesigns ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราให้ความสำคัญในการให้บริการที่ยอดเยี่ยมและการมอบคุณภาพที่สูงในราคาที่คุ้มค่า ราคาไม่แพงอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหากคุณมาใช้บริการที่โรงงานผลิตถุงกระดาษเราจะไม่ผิดหวังและลูกค้าจะประทับใจในแบรนด์ของคุณด้วย
อ่านเพิ่มเติม : ออกแบบถุงกระดาษช้อปปิ้งอย่างไร ให้โดนใจผู้บริโภค
คำถามที่พบบ่อย
1.เลือกแกรมกระดาษเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะกับสินค้าของฉัน?
ตอบ: สำหรับสินค้าทั่วไปน้ำหนักเบาแนะนำ 150-185 แกรม แต่ถ้าเป็น ถุงกระดาษสินค้าแฟชั่น หรือสินค้ามีน้ำหนัก ควรใช้ 210 แกรมขึ้นไป หรือ 230 แกรมเพื่อความพรีเมียมและแข็งแรงสูงสุด
2.ถุงกระดาษใช้กระดาษกี่แกรมถึงรับน้ำหนักได้ดี?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับประเภทกระดาษด้วย แต่โดยมาตรฐาน ถุงกระดาษอาร์ตการ์ด 210 แกรม รองก้นด้วยกระดาษแข็ง สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 1-3 กิโลกรัมสบายๆ หากหนักกว่านั้นแนะนำให้เพิ่มแกรมหรือตอกตาไก่ที่หูหิ้ว
3.สั่งทำถุงกระดาษ ขั้นต่ำกี่ใบ?
ตอบ: โรงงานส่วนใหญ่รับผลิตขั้นต่ำที่ 300-500 ใบ แต่ราคาจะคุ้มค่าที่สุดเมื่อสั่งผลิตที่ 1,000 ใบขึ้นไป
ติดต่อสอบถาม
โทร : 088-637-1444 , 097-474-2351
Email : [email protected]
Line OA : @packingdesigns


